เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ส.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! เราตั้งใจฟังธรรมะนะ เวลาหลวงตาท่านมาโครงการช่วยชาติ ท่านมาพูดที่สวนแสงธรรมว่า เราทำให้ลูกศิษย์บอบช้ำ เวลาท่านมานะ มาโครงการช่วยชาติ ทำให้ลูกศิษย์บอบช้ำ เพราะเราแสวงหา เราแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย เราแสวงหาปัจจัยเพื่อถวายท่าน เพื่อให้ท่านเอาไปกู้ชาติ ท่านบอกว่า ท่านทำให้ลูกศิษย์บอบช้ำ ลูกศิษย์ที่หัวใจเป็นธรรมบอบช้ำ แต่เวลาจำเป็นต้องพูด เพราะอะไร จำเป็นต้องพูดเพราะไอ้คนที่มันไม่ให้ ท่านพูดถึงคนที่ไม่ให้ คนที่ไม่ช่วยเหลือเจือจานสังคม คนนั้น ท่านพูดเพื่อตรงนั้น เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญา

เรื่องของทานๆ ถ้าจิตใจของคนที่มันดี เรื่องของทานเป็นเรื่องพื้นฐานไง เพราะมันอยากให้อยู่แล้ว แต่ท่านไม่ต้องการตรงนั้น เวลาท่านมาท่านบอกว่าท่านมาเอาหัวใจคน มาเอาหัวใจคน มาเอาสัจจะความจริงไง แต่นี้หัวใจคน เห็นไหม ดูสิ ท่านบอกว่า เวลาพระ พระมาจากใคร? พระก็มาจากลูกชาวบ้าน ก็ลูกพ่อแม่ สังคมนั่นแหละ เขามีลูกมา ลูกมาบวชเป็นพระ แล้วเวลาสังคมเขาเดือดร้อน พระต้องไปช่วยเหลือเขาไหม เขาบอกไม่ใช่กิจของสงฆ์ๆ

ใช่ กิจของสงฆ์คือเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นั่นเป็นความจริง แต่ในเมื่อกิจของสงฆ์ ท่านทำของท่านเสร็จแล้ว ท่านทำเสร็จแล้วท่านถึงมาสงเคราะห์โลก

คำว่า “สงเคราะห์” ถ้าสงเคราะห์นะ คนที่เป็นสายบุญสายกรรมท่านก็จะร่วมสงเคราะห์ด้วย คนพวกนี้เขาจะขวนขวาย ท่านบอกว่าเราทำลูกศิษย์ของเราให้บอบช้ำ บอบช้ำเพราะมันต้องขวนขวายมาไง แต่เวลาท่านพูดท่านบอกว่ามันไม่ใช่น้ำท่านะที่จะตักเอาได้ เราต้องขวนขวายของเรามา แต่ที่พูดๆ นี้พูดเพราะคนที่...จริงๆ แล้วคือเขาไม่ทำประโยชน์พวกเขา ทำประโยชน์เพื่อตัวเขา

เราทำลูกศิษย์ของเราบอบช้ำ แต่เวลาไปไหน เราไม่ต้องการวัตถุสิ่งใดทั้งสิ้น เราต้องการหัวใจคน หัวใจคน

แต่นี้หัวใจคน สิ่งที่กระทำมันก็ทำแบบนั้น ถ้ามันเสียสละ เสียสละเพราะอะไร เพราะประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมนะ มันเป็นวัฒนธรรมประเพณี ประเพณีนี่สมมุติ สิ่งที่สมมุติๆ คนที่เขาไม่ศรัทธาเขาไม่เชื่อ สิ่งที่สมมุติเขายังทำไม่ได้เลย สิ่งที่สมมุติคือของโลก เรื่องโลกๆ เรื่องสาธารณะ เรื่องของสังคมไง แล้วสังคมถ้าทำคุณงามความดี ใครทำดีมันก็ได้ดี ใครทำดีก็ได้ดี ได้ดีที่ไหน นี่ได้ดี กลิ่นของศีลหอมทวนลม คนคนนั้นเป็นผู้เสียสละ คนคนนั้นไม่เอารัดเอาเปรียบใคร คนคนนั้นไม่เคยรังแกใคร คนคนนั้นมีแต่ช่วยเหลือ คนคนนั้นมีน้ำใจคอยโอบอ้อมอารี เขาจะว่าคนคนนั้นเลวไหม นี่กลิ่นของศีลไง

บอกว่า เวลาทำบุญกุศลแล้วไม่ได้บุญ

เวลาถือศีลนะ นี่ธรรมะคุ้มครอง คุ้มครองเพราะอะไร คุ้มครองเพราะเราถือศีล เรามีศีลของเรา เรามีความปกติของใจ ศีลคุ้มครองเพราะอะไร เพราะมันเป็นความสุจริต ความสุจริต ความดีงามมันคุ้มครองเราทั้งนั้นแหละ ทีนี้มันคุ้มครอง คุ้มครองที่ไหนล่ะ คุ้มครอง เห็นไหม หัวใจเราสุจริต มันทำสิ่งใดมันทำด้วยเต็มไม้เต็มมือทั้งนั้นแหละ มันไม่มีสิ่งใดแอบแฝงไง มันทำได้สบายใจนะ ถ้ามีศีล

กลิ่นของศีลหอมทวนลม เพราะเราทำคุณงามความดีของเรา แต่เราทำบุญกุศลว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำดีแล้วไม่ได้ดี...จะเอาบุญอะไรล่ะ จะเอาบุญอย่างที่ตัวปรารถนาใช่ไหม อันนั้นมันตัณหาความทะยานอยากใช่ไหม บุญมันคืออะไรล่ะ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นสาธารณะ ขนาดเป็นเรื่องสาธารณะเรายังทำได้ยาก เราทำนะ คนที่เขาทำไม่ได้ เขาทำไม่ได้เลย แต่คนที่เขาทำได้ เขาทำได้ เขาทำเมื่อไหร่มันก็เป็นประโยชน์ของเขา นั่นประโยชน์สาธารณะ แล้วประโยชน์เราล่ะ

ถ้าประโยชน์จริงๆ ความจริงๆ ความจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะ...” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ประชาชน บริษัท ๔ กษัตริย์ พวกวัชชีเขาเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวายมหาศาลเลย เพราะเขารัก เขาบูชามาก เพราะมันร่ำลือว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน คือจะได้เห็นครั้งสุดท้ายว่าอย่างนั้นเถอะ จะมาดูใจกัน จะมาครั้งสุดท้าย เอาดอกไม้ธูปเทียนมาคารวะไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนอยู่ บอกพระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ บอกเขาว่าจงปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย” การปฏิบัติบูชาๆ นี่มันเป็นความจริงๆ

นี่ไง เวลาความจริงทำไม่ได้ เวลาทำบุญกุศล ขนาดว่าที่เขาไม่ทำเขายังไปไม่ได้ ไปวัดไปวาไม่ได้ ไอ้ไปวัดไปวา โอ๋ย! ไปด้วยกระแสสังคม ไปด้วยความครึกครื้นนะ เวลานั่งภาวนาเหลือ ๒ คน กลับบ้านหมด เหลือ ๒ คน ไอ้มาปฏิบัติในวัด ปฏิบัติแล้วเหลือกี่คน

อันนั้นความจริงของเรา ความจริงของเรา สัจธรรมของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา มันของของเรา เวลาของของเรา ของจริงๆ มันไม่เอากัน แล้วเอาไม่ได้ เวลาของสังคมโลก กระแสสังคม กระแสสังคมว่าทำแล้วจริงหรือไม่จริง มันยังทำได้ขนาดนี้ เขาว่าเป็นอามิสๆ ไง อามิสคือแรงขับ

รถมันจะไปได้ น้ำมันเต็มถัง รถไปได้ไกล คนนี้มีวาสนาครึ่งถัง ไอ้เรามี ๑ ใน ๔ ถัง มันไปได้ไกลขนาดไหน คำว่า “เสบียง” เห็นไหม คนเฒ่า คนแก่ ไม้ใกล้ฝั่งๆ เขาจะทำสมบัติของเขา เวลาที่ว่าอาหาร ๔ ในวัฏฏะ พรหม ผัสสาหาร เทวดาลงมา วิญญาณาหาร มนุษย์ กวฬิงการาหาร คืออาหารคำข้าว มโนสัญเจตนาหาร คนเราจะเดินทาง เกิดภพใด ชาติใด อยู่อย่างใด ใช้ชีวิตอย่างใด กินอาหารอย่างใด กำเนิด ๔ อาหาร ๔ เราทำบุญกุศลกันอยู่นี่ เวลาทำบุญกุศล ใครเป็นคนทำ นี่เราไม่ทำอะไรกับใครเลย แล้วบอกว่าบุญมันเป็นทิพย์ๆ มันเป็นวิญญาณาหาร เขาบอกวิญญาณาหาร วิญญาณคือความรับรู้ นี่มันเป็นทิพย์ๆ แล้วบอกว่าเดี๋ยวเรานึกเอาเลย เราจะมีปราสาท ๕ หลัง เราจะมีสมบัติมหาศาลเลย แต่กูไม่เคยทำ กูนึกไม่ออก ปราสาทเป็นอย่างไร อ๋อ! ปราสาทมันคงเป็นกงเต๊กเวลาเขาเผาไฟอย่างนั้นมั้ง ไอ้กระดาษปะๆ คงเป็นแบบนั้นมั้ง อ้าว! ปราสาทอะไรของมึง

แต่ถ้าเราทำ เราทำ ทิพย์สมบัติๆ มันอยู่ที่นี่ เราทำ เห็นไหม อาหาร ปัจจัยเครื่องอาศัยที่โยมถวายอยู่นี่ ถวายมา ๒๐ ปีที่แล้ว ๓๐ ปีที่แล้ว โยมคิดสิ สดๆ ร้อนๆ โยมคิดถึงอาหารที่เคยทำบุญมา เมื่อพรรษาที่แล้ว พรรษาก่อน มันยังไม่เน่าไม่บูดเลยนะ แต่ถ้ามันเป็นวัตถุ เป็นอาหาร วันเดียวมันก็เน่าก็บูดแล้ว นี่วิญญาณาหาร ทีนี้วิญญาณมันตอกย้ำในใจๆ ไง เวลาเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ถ้าไปเกิด ไอ้สิ่งนี้มันส่งเสริมไป นี่อริยทรัพย์ๆ ทรัพย์สมบัตินี้มันเป็นของเรา นี่ความจริง นี่พูดถึงความจริงนะ แต่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ มันจะเกิดได้จากการกระทำ เราทำทาน เราทำทานเป็นอามิส อามิสที่ว่าทำทาน นี่สมบัติสาธารณะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ฉลาด รื้อสัตว์ขนสัตว์ ไอ้ที่โง่เขลาเบาปัญญาขนาดไหน ก็ให้มันได้สมบัติของมันไป เทศนาว่าการ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อของมัน ถ้ามันทำของมัน นั่นล่ะสมบัติของมัน สมบัติกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นคนทำ ใจดวงนั้นจะได้ของมันไป แล้วเวลาเราพูดถึงสมบัติ เราก็อยากนิพพานทุกคนเลย อยากได้มรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพาน แล้วมรรคผลนิพพานมันเกิดจากตรงนั้นไหมล่ะ

เราจะทำบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน หลวงตาท่านบอกว่า เราจะทำบุญกุศลขนาดไหน ถึงที่สุดเราจะพ้นจากทุกข์ เราต้องภาวนา “ทาน ศีล ภาวนา” การที่มันจะมีมรรคมีผล มันต้องใช้ปัญญาญาณ ปัญญาญาณมันเกิดจากจิต มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วมันปัญญาญาณ ปัญญาที่เรามีกันอยู่นี่เขาเรียกว่าวิชาชีพ มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาทางโลก การศึกษา การค้นคว้า การศึกษา การค้นคว้าเดี๋ยวมันก็ลืม เดี๋ยวก็ทบทวนอยู่ใช่ไหม เพราะเราทำมาเองเราก็ยังลืมเลย

แต่ถ้าจิตเราสงบแล้ว จิตมันออกฝึกหัดใช้ปัญญา มันเกิดภาวนามยปัญญา มันเกิดปัญญาญาณ ปัญญาญาณอันนั้น เอาหัวทิ่มดินมันก็ไม่ลืม ทำอย่างไรมันก็ไม่ลืม มันฝังใจ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ เวลามันสำรอก มันคายกิเลสของมัน มันเป็นในตัวมันเอง มันจะลืมได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้

แผลเป็นเราเดี๋ยวนี้เขาทำได้ แผลเป็นอยู่กับเรามันก็อยู่กับผิวหนังตลอดไป ไอ้นี่มันใจ มันแผลใจ ใจมันเจ็บ ใจมันป่วย ใจมันมีอวิชชา ใจมันมีสิ่งที่ครอบงำมันอยู่ แล้วสิ่งที่ครอบงำอยู่มันปิดหูปิดตา เราก็ไม่ทันมัน พอมันปิดตาแล้วมันจูงจมูก เราเดินตามมันไปหมดเลย ทำอะไรก็ทำตามไปหมดเลย อ้าว! ก็เราคิดเอง เราใช้ปัญญาเอง เราเป็นคนมีปัญญา เราคิดแล้วเราก็ว่ามันต้องถูกต้องดีงามไปหมดแหละ...นั่นถูกต้องดีงามของใครล่ะ

มันชอบ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก เห็นไหม แง่มุมใด สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากประเพณีวัฒนธรรม ดูวัฒนธรรมพื้นถิ่นแต่ละที่ไม่เหมือนกัน เพราะครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด ท่านค้นคว้า ท่านชอบสิ่งใด ท่านก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นผู้นำ ผู้นำสังคมเขาทำตามนั้น นี่ประเพณีวัฒนธรรมพื้นถิ่น ตำนานในท้องที่มันแตกต่างกันไปๆ นั่นล่ะมันมาจากผู้นำ นี่ศึกษาให้ดี ศึกษาให้ดี พอถึงที่สุดแล้วมันจะเข้าสู่พระไตรปิฎก

พระไตรปิฎกเวลาสอนขึ้นมามันยังแตกต่างหลากหลายไป ถ้าแตกต่างหลากหลายไป เวลาเราศึกษามาๆ เราชอบสิ่งใดล่ะ เราชอบสิ่งใดเราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่า เป็นจริงไหมล่ะ มันก็เหมือนทางวิชาการ ศึกษามา ค้นคว้ามา นี่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเธอ เป็นศาสดา ศาสดาเป็นผู้ชี้ทาง ผู้ชี้ทางให้ใคร? ผู้ชี้ทางให้ใจได้การกระทำ แล้วใจมันได้กระทำหรือยัง ถ้าใจมันกระทำขึ้นมา มันฝึกหัดขึ้นมา มันจะเข้าใจศีล สมาธิ ปัญญา มันถึงจะเห็นจริงเห็นแจ้งไง เห็นแจ้งว่า อ๋อ! อันนี้เป็นสมบัติ เป็นทาน ทาน ศีล ภาวนา

เพราะทานชักให้เราเข้ามาศึกษา ชักให้จิตใจเราเปิดกว้าง เพราะทาน เห็นไหม ดูนั่งสมาธิสิ เวลานั่งสมาธิ นั่งสมาธิไปแล้วมันอึดอัดขัดข้อง นั่งสมาธิไปแล้วเจ็บ เวทนามันเกิด ทุกอย่างมันเกิด มันบีบคั้นมาตลอด นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสมันบีบคั้นหัวใจ ถ้าเรื่องของทานๆ นี่การเสียสละ การฝึกฝน การต่อสู้ ต่อสู้กับความตระหนี่ถี่เหนียว มันก็เหมือนกับเวลาเรานั่งสมาธิ พอเวทนามันเกิด มันเจ็บๆ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะทำทาน มันไม่ให้ๆๆ อ้าว! ของกูๆๆ มันไม่ให้

นี่ไง ผู้ที่ฉลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกฝน สิ่งที่ทำมามันเป็นกุศโลบายในวัฒนธรรม แต่ถ้าคนที่มันเห็นแก่ตัว มันก็บอกว่าทำบุญแล้วได้บุญมากๆ...บุญมากมันอยู่ที่ไหน บุญมากมันอยู่ที่วัตถุหรือ

บุญมากมันอยู่ที่เจตนานะ เจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ ปฏิคาหก ผู้ให้ เราได้สมบัติมาด้วยสุจริต เราให้ด้วยศรัทธาความเชื่อ ด้วยปัญญาของเรา ให้แล้วเรามีความพอใจของเรา นี่ผู้รับๆ เนื้อนาบุญของโลก ถ้ารับแล้ว ใช้ของเขา ดูแลของเขา ประโยชน์ของเขา นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูด เห็นไหม ชาวบ้านเขาได้ ๕ ได้ ๑๐ มา สิ่งใดดีๆ ของเขา เขาเอามาถวายพระ พระก็หัวโล้นๆ ไม่มีอาชีพกับเขา แล้วก็มีเครื่องยนต์กลไกดีกว่าเขา พระต้องอยู่เหนือสังคม เหนือโลก นั่นล่ะกิเลสทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น พระที่ประพฤติปฏิบัติ อดนอนผ่อนอาหาร ท่านดูแลสุขภาพของท่าน ท่านจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บจนเกินไปนัก แต่ธรรมดาร่างกายมันเป็นรวงรังของโลก การชราคร่ำคร่าไปมันเป็นโรคชรา มันเป็นเรื่องธรรมดา นี่ไง ถ้าท่านมีสติปัญญา อันนั้นถ้านักปฏิบัติแล้ว นั่นล่ะมันทำให้เกิดตกภวังค์ เวลาภาวนาไปก็วิตกกังวล เวลาฉันเข้าไปในร่างกายแล้วมันก็เกิดขันธ์ทับจิต ฉันสิ่งใดที่มันเป็นไขมัน มันเป็นต่างๆ แล้วก็ไปนั่งภาวนา ไปต่อสู้ มันเป็นโทษทั้งนั้นเลย ถ้าคนขาดสติ ทำสิ่งใดไป แล้วไปนั่งภาวนาก็ไปสัปหงกโงกง่วง

เวลาภาวนาก็อยากได้สมาธิ เวลาภาวนาก็อยากมีปัญญา แล้วเริ่มต้นมา ต้นทาง เวลา ปฏิสงฺขา โยฯ บิณฑบาตเป็นวัตร แล้วจัดอาหารลงบาตร แล้วสิ่งที่มันเป็นโทษกับร่างกาย หยิบใส่ปากทำไม ทำไมไม่มีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญามันก็ไม่หยิบใส่ไง ไม่หยิบใส่ปากมันก็ไม่ให้ผลกับพลังงานที่ทับหัวใจไง ถ้ามันมีสติปัญญาไปเรื่อยๆ

นี่พูดถึงแม้แต่เอาเข้าร่างกาย ถ้ามีสติปัญญา เขาต้องมีสติปัญญาของเขา แล้วเวลาปฏิคาหกๆ ผู้ที่เป็นผู้รับๆ รับแล้วทำอะไรต่อ รับแล้วเป็นประโยชน์กับใคร เป็นประโยชน์ที่ไหน เห็นไหม ถ้ามันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์

ฉะนั้น ทำบุญแล้วได้บุญมากๆ...บุญมากอยู่ที่เจตนา ในสมัยพุทธกาลนะ มีทุคตะเข็ญใจอยากบวชมากๆ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุคตะเข็ญใจไม่มีใครอยากให้บวช ไปหาใคร ใครก็ไม่ให้บวช เพราะเขาเป็นคนทุกข์คนยาก เวลาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอยากบวชมาก ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกประชุมสงฆ์ ประชุมสงฆ์ว่า “ทุคตะเข็ญใจนี้เคยมีคุณกับใครบ้าง”

พระสารีบุตรยกมือเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่า “เขามีคุณอะไรกับเธอ”

“เขาเคยใส่ข้าวข้าพเจ้า ๑ ทัพพีครับ”

๑ ทัพพีที่เขาเคยใส่บาตรพระสารีบุตร พระสารีบุตรบอกว่าเขามีคุณ เขามีคุณกับพระสารีบุตร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าเขามีคุณกับเธอ เธอจงให้เขาบวช”

พระสารีบุตรเอาทุคตะเข็ญใจนั้นไปบวช แล้วเอาไปฝึกไปหัด ฝึกหัดภาวนา เวลาพระสารีบุตรไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามตลอด “สารีบุตร สัทธิวิหาริกของเธอสอนได้ยากไหม สัทธิวิหาริกของเธอสอนได้ดีไหม” เพราะเขาเป็นคนทุกข์คนยาก เขาอยากจะได้มรรคได้ผล เขาได้บวชแล้วเขามีครูบาอาจารย์ที่ดี ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนชี้นำเข้าไปสู่สัจจะความจริง เขาขวนขวายของเขา เขาพยายามของเขา ถึงที่สุดเขาได้เป็นพระอรหันต์

เขาได้เป็นพระอรหันต์เพราะข้าวทัพพีเดียว ข้าว ๑ ทัพพีเท่านั้น แต่จิตใจของเขา เขาอยากบวช เขาอยากประพฤติ เขาอยากปฏิบัติของเขา แต่มันไม่มีใครให้เขาบวช ไม่มีใครดูแลเขา แต่ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก นี่ทุคตะเข็ญใจ อยู่ในพระไตรปิฎก

มันสำคัญที่นี่ไง บุญกุศลสำคัญที่หัวใจของเรา เรามีเจตนาดี เรามีเจตนาถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลย เราพึ่งที่นี่ รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นพุทธมามกะ แล้วเวลาจริงๆ แล้ว เราพุทโธๆ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดจริง “ถ้าเธอจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔” คือไปที่อินเดียนั้น

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นท่านบอกว่าหลงธาตุๆ นี่ไปเอาธาตุข้างนอก ทำไมไม่เอาธาตุรู้ เวลาพุทโธๆ เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นี่ เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ เราเข้าไปถึงพุทโธของเรา เราจะได้สัมผัสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ถ้าเรามีสติ มีความมั่นคง เราทำของเราได้ทั้งนั้นแหละ

แต่นี่มันอ่อนแอไง เวลาจะไปทำบุญกุศล ทำบุญกุศลก็ไม่เคยไป เวลาจะไปก็ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปให้มันปลื้มใจไง โอ้โฮ! ฉันมาเครื่องบินนะ ยิ่งถ้าไปปฏิบัติธรรมภาษาอังกฤษบอกพวกนี้ไฮโซนะ ภาษาไทยปฏิบัติไม่ได้ เขาปฏิบัติภาษาอังกฤษ

ก็แค่ภาษา ภาษาก็สมมุติ แล้วภาษาธรรมล่ะ ภาษาธรรมคือภาษาใจ ใจสงบจริงไหม ถ้าใจสงบจริง เขาจะบอกว่าจิตสงบเป็นแบบใด แล้วถ้าสงบแล้วนะ พูดกับคนที่ไม่สงบ พูดกันไม่รู้เรื่อง ไอ้คนไม่เคยสงบก็ว่าของฉันว่างๆ ของฉันว่างๆ...ว่างๆ ก็อวกาศไง จักรวาลนี้มันว่าง มันลอยไว้เก็บขยะอวกาศ ความว่างบนอวกาศมันเอาไว้เก็บขยะ

แต่ถ้ามีสติปัญญา ถ้าเป็นสมาธิเป็นอย่างไร มันว่างอย่างไร มันเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้มันเหินห่างจากหลักความจริงออกไปเรื่อยๆ ด้วยกระแสสังคม สังคมใครมากกว่า ประชาธิปไตยยกมือๆ โอ๋ย! ว่างๆ ว่างๆ แล้วก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์โดยขี้ลอยน้ำ ไม่รับผิดชอบสิ่งใด ไม่ได้เห็นสิ่งใด ไม่มีปัญญาสิ่งใด

แต่ถ้ามันเป็นความจริง สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ก็ต้องมีปัญญา พระอรหันต์เกิดจากปัญญาญาณ อาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะโผล่ขึ้นมา เขาจะผุดขึ้นมาโดยที่ไม่มีสติปัญญาอะไรเลย แล้วเป็นพระอรหันต์ เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีเหตุ มันเป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปได้มันต้องมีมรรคญาณ มันต้องมีมรรค ๘ มันมีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันมีอริยสัจ มันมีสัจจะความจริง

สัจจะความจริงมันเกิดจากไหนล่ะ? มันเกิดจากหัวใจ หัวใจที่เป็นจริงนี่แหละ หัวใจที่เวียนว่ายตายเกิดนี่แหละ เวลาตายเขาไปเผากันที่เชิงตะกอน เขาไปเผากันที่เมรุ แต่ไม่มีใครเคยเผาหัวใจได้ ไม่มีใครเคยทำลายกิเลสในหัวใจได้ เว้นไว้แต่มรรคญาณ ตบะธรรมมันจะแผดเผา ตบะธรรมมันจะแผดเผา แผดเผาหัวใจนี้ให้หัวใจมันผ่องแผ้ว ให้หัวใจมันถึงที่สุดไง

นี่ไง เวลาหลวงตาท่านบอก เราทำลูกศิษย์ของเราให้บอบช้ำ แต่เราพูด เราพูดถึงคนที่เขาไม่ให้ เรามานี้เรามาเอาหัวใจคน หัวใจคนสำคัญ ความรู้อันนั้นสำคัญ

ท่านมาเอาหัวใจคน แต่ในเมื่อพระเกิดมาจากพ่อจากแม่ พระก็เกิดมาจากสังคม สังคมเดือดร้อนท่านถึงได้ออกไปช่วยสังคม

“ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่กิจของสงฆ์” นั้นพูดด้วยความเห็นของเขา

แต่ผู้ที่เขามีคุณธรรม เขาทำของเขา ทำด้วยสัจจะ ทำด้วยความจริง ทำด้วยหัวใจนั้น เพื่อสังคมโลกนะ เห็นไหม ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น พยายามรักษาตนให้ได้ แล้วจะเป็นที่พึ่งของสังคม เอวัง